10 คำสั่ง Git ที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้ทุกครั้งเมื่อเริ่ม Project ใหม่

05-พ.ย.-25

คัมภีร์เทพ IT

ทุกครั้งที่เริ่ม Project ใหม่ การตั้งค่า Git ให้พร้อมก่อนใช้งาน ก็เปรียบเหมือนการชงกาแฟดื่มก่อนจะเริ่มทำงาน เพราะการเริ่มต้นอย่างเป็นระบบ จะช่วยลดปัญหาในภายหลังได้ ไม่ว่าจะเป็น การทำงานเป็นทีม หรือการจัดการ Commit ที่เป็นระเบียบ บทความนี้จึงมาแนะนำ 10 คำสั่ง Git ที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้ทุกครั้งเมื่อเริ่ม Project ใหม่

1. git init

git init

คำสั่งนี้ใช้สำหรับสร้าง Git Repository ภายใน Directory ของ Project ของคุณ พร้อมกับสร้าง .git Folder ที่จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดใน Project

2. git config

git config user.name "Your Name"
git config user.email "you@example.com"

คำสั่งนี้ใช้สำหรับตั้งค่าข้อมูลของ User สำหรับการ Commit เพื่อให้ Git ทำการบันทึกว่า ใครที่เป็นคน Commit โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณทำงานบนคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง หรือใช้งานหลาย GitHub Accounts เพราะการตั้งค่าที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยป้องกันความสับสนในภายหลังได้เป็นอย่างดี

3. git status

git status

คำสั่งนี้ใช้สำหรับตรวจสอบสถานะปัจจุบันของ Repository โดยจะแสดงให้เห็นว่า ไฟล์มีการแก้ไข (Modified), ยังไม่ได้ Track, หรือไฟล์ที่อยู่ใน Staging Area แล้ว มันก็เปรียบเหมือนกับการทำ “Check List” งานก่อนที่จะ Commit ลงไป

4. git add .

git add .

คำสั่งนี้ใช้สำหรับจัดเตรียมไฟล์ทั้งหมดให้พร้อมก่อนทำการ Commit โดยจะทำการเพิ่มไฟล์ใหม่หรือไฟล์ที่ถูกแก้ไขทั้งหมด เข้าสู่ Staging Area แต่อย่าลืมตรวจสอบก่อนเสมอ เพราะเท่ากับว่า คุณกำลังบอก Git ว่า “ทุกอย่างพร้อมสำหรับการ Commit แล้ว” นั่นเอง

5. git commit -m "Initial commit"

git commit -m "Initial commit"

คำสั่งนี้ใช้สำหรับบันทึกการเปลี่ยนแปลงลงไปใน Repository โดยคำสั่งนี้จะทำการเก็บ Snapshot ของสถานะปัจจุบันของ Project

นอกจากนี้ การใช้ Commit Message ที่เหมาะสม จะทำให้ในอนาคต ตัวคุณเองสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำไปเพื่อจุดประสงค์ใด

6. git branch -M main

git branch -M main

คำสั่งนี้ใช้สำหรับเปลี่ยนชื่อ Default Branch เป็น Main เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานปัจจุบันที่นิยมใช้ชื่อ Branch หลักว่า Main ซึ่งจะทำให้ Repository ของคุณเป็นไปในทิศทางเดียวกับโครงสร้างใหม่ของ GitHub

7. git remote add origin <repository-url>

git remote add origin https://github.com/username/repository.git

คำสั่งนี้ใช้สำหรับเชื่อมต่อ Repository บนเครื่องกับ Remote Repository โดยจะทำการเชื่อม Project ในเครื่องกับ Repository ที่อยู่บน GitHub (หรือ Platform อื่น ๆ) เพื่อให้สามารถ Push, Pull และทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในทีมได้สะดวกมากขึ้น

8. git push -u origin main

git push -u origin main

คำสั่งนี้ใช้สำหรับส่ง Commit ขึ้นไปยัง Remote Repository โดยจะทำการ Upload Commit ทั้งหมดขึ้นไปยัง Repository บน Git พร้อมตั้งค่า Main Branch ให้เป็น Branch ปลายทาง สำหรับการ Push ในครั้งต่อ ๆ ไปโดยอัตโนมัติ

9. .gitignore

คำสั่งนี้ใช้สำหรับกำหนดไฟล์ที่ไม่ต้องการให้ Git ติดตาม โดยจะทำการสร้างไฟล์ที่ชื่อ .gitignore เพื่อระบุไฟล์หรือ Folder ที่ไม่อยากให้ Git ทำการติดตาม
เช่น:

การทำสิ่งนี้ จะช่วยป้องกันไม่ให้ไฟล์ขนาดใหญ่, ไฟล์ระบบ หรือข้อมูลสำคัญ หลุดเข้าไปที่ Repository โดยไม่ตั้งใจ

10. git log

git log

คำสั่งนี้ใช้สำหรับดู Commit History ทั้งหมด โดยจะใช้ดูรายการ Commit ที่เกิดขึ้นภายใน Project เพื่อให้คุณสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คำสั่งนี้ถือว่ามีความสำคัญสำหรับ การย้อนดูหรือวิเคราะห์ Code ย้อนหลังได้

สรุป

และนี่ก็คือ 10 คำสั่ง Git ที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้ทุกครั้งเมื่อเริ่ม Project ใหม่ ซึ่งช่วงแรกของการใช้งาน Git อาจดูซับซ้อน แต่ถ้าคุณเริ่มต้นด้วย Workflow ที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรก มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและเชื่อถือได้อย่างมากใน Project ของคุณ อย่ามองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลา แต่มันคือการลงทุนเพื่อความสบายในอนาคต

ที่มา: https://javascript.plainenglish.io/

 

 

รับตำแหน่งงานไอทีใหม่ๆ ด้วยบริการ IT Job Alert

 

อัพเดทบทความจากคนวงในสายไอทีทาง LINE ก่อนใคร
อย่าลืมแอดไลน์ @techstarth เป็นเพื่อนนะคะ

เพิ่มเพื่อน

 

บทความล่าสุด