10 เคล็ดลับ เพื่อเป็น Software Engineer หญิง ที่สุดเจ๋ง

14-ก.ย.-18

คัมภีร์เทพ IT

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบัน “ผู้หญิง” ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายๆ สาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่ Industry ไอทีและเทคโนโลยี ซึ่งในบทความนี้จะมาเผย 10 เคล็ดลับ ในการเป็น Software Engineer หญิง ที่สุดเจ๋ง มาฝากกัน โดยในภาพรวมแล้วผู้ชายก็สามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ได้เช่นกัน

บทความนี้ถ่ายทอดโดยคุณ Emma Wedekind ซึ่งเธอเล่าว่า เธอจบด้าน Computer Science จนพอได้ทำงาน เธอเคยรู้สึกแย่กับคำพูดในทำนองว่า “คุณสวยและน่ารักเกินที่กว่าจะทำงาน Software Engineer” เธอจึงคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องผู้หญิงกับการเป็น Engineer สำหรับ Emma เอง เธอรู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานดีๆ ใน Industry นี้ เธอได้โอกาสทำงานใน Project ที่ยอดเยี่ยมกับเพื่อนร่วมงานที่ดี และได้ความรู้มากมาย แถมได้รับโอกาสทำงานในบทบาทอื่นๆ ด้วย เธอเชื่อว่าเคล็ดลับที่เธอกำลังจะแนะนำ น่าจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและก้าวหน้ายิ่งขึ้น

1. อย่ากลัวที่จะถามคำถาม

การเรียนรู้ที่จะถามคำถามที่ถูกต้อง และวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการถามคำถามเหล่านี้ ถือเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้และขึ้นกับการแสดงออกด้วย มันเป็นสิ่งสำคัญในการพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนที่จะขอความช่วยเหลือคนอื่น แต่คุณอาจเวลาหาคำตอบที่ทำให้เสียเวลามากเกินไปโดยใช่เหตุ วิธีที่ดีสำหรับการถาม คือการอธิบายปัญหา, อธิบายขั้นตอนที่คุณใช้เพื่อแก้ปัญหา และสมมติฐาน(ที่อาจมี) ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการริเริ่มในการแก้ไขปัญหาของคุณ แนวทางหนึ่งในการหาทางแก้ปัญหาคือ หาต้นตอของปัญหาแล้วแตกประเด็นแยกกิ่งก้านออกไป จะทำให้คุณเห็นปัญหาและแนวทางได้ชัดเจนขึ้น แต่ถ้าคิดไม่ออกก็หยุดพักก่อน แล้วค่อยคิดใหม่ ซึ่งการ Diagrams of Decision Trees จะช่วยลดความสับสนได้

2. ทำตัวให้น่าสนใจ(ในทางที่ดี)

หากคุณเป็นผู้หญิง มีแนวโน้มที่จะรู้สึกหายหากต้องพูดในที่ประชุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ชาย แต่คุณควรทำตัวให้ผ่อนคลายในการแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม มันเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของอาชีพ การทำให้ตัวคุณเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะกับทีมผู้บริหารซึ่งจะเป็นผู้สนับสนุนของคุณ คุณควรทำให้ทีมรู้ว่า คุณมี Solution ที่สร้างสรรค์ แม้ว่าการพูดต่อหน้าคนอื่นจะเป็นเรื่องน่ากลัว หรือคุณอาจกลัวถูกวิจารณ์  แต่มันก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้คนในทีมให้ความสำคัญกับตัวคุณ อีกวิธีคือ การอาสาสมัครทำกิจกรรมเพื่อบริษัท เช่น อาสานำเสนอเพื่อให้ความรู้กับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น และเมื่อคุณมีส่วนร่วมกับบริษัท คุณก็จะเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น นอกจากคุณจะรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรอีกด้วย

3. อย่าหยุดเรียนรู้

ในสายงาน Technology มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นั่นหมายถึง หากคุณหยุดเรียนรู้ คุณจะอยู่ยากใน Industry นี้ คุณควร Update ทักษะและข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ Industry หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่นั้น คุณควรสามารถแนะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับ Product ของคุณได้ เช่น หากทีมของคุณกำลังสร้าง Application ขนาดใหญ่ด้วย React คุณก็ควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Redux และอาจเสนอว่าเป็น Solution ที่ช่วยเรื่อง State-Management  ที่ดีซึ่งสามารถนำมา Integrate ได้ เป็นต้น สิ่งนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าคุณมีความคิดริเริ่มเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจในงานของคุณอีกด้วย สำหรับ Resource ที่คุณจะเรียนรู้ก็มีมากมายทั้ง คอร์สต่างๆ, เว็บไซต์, หนังสือ และ Influencers อย่างของ Emma เองก็มี Blog เกี่ยวกับ How To Learn JavaScript เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ของ Emma (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายและเป็นคุณพ่อ) มักเขียน Code ในเวลาว่าง แต่สำหรับ Emma ชอบที่จะหาหนังสือดีๆ มาอ่าน แต่มันยากที่จะหาแรงจูงใจในการเรียนรู้ เธอจึงกำหนดวัน-เวลาเพื่อการเรียนรู้ เช่น ทุกเที่ยงของวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ เธอมี Class ภาษา German ส่วนอังคารและพฤหัสบดี เธอจะดูพวกคอร์สทางด้าน Technical

4. ควบคุมอารมณ์ให้ได้

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงมักถูกมองว่า "เป็นคนใช้อารมณ์" ซึ่ง Emma เองก็เคยรู้สึกผิดที่พูดโดยใช้อารมณ์กับ Team lead หรือ Manager และเธอก็ได้รับการบอกกล่าวจากเพื่อนร่วมงานหญิงของเธอว่า อยากให้เธอควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ แต่สิ่งที่เพื่อนร่วมงานอาจไม่ได้ตระหนักถึงคือ การใช้อารมณ์กับเรื่องที่เกี่ยวกับ Passion คือเมื่อคุณมี Passion ใน Project แล้ว คุณจะรู้สึกดีกับความสำเร็จของ Project นั้น เราต้องแยกแยะเรื่องการใช้อารมณ์ในที่ทำงาน หากคุณเป็นคนใช้อารมณ์บ่อยๆ คุณอาจต้องใช้การพูดที่แตกต่างออกไป แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณใส่ความรู้สึกไปในอนาคตของ Project ที่คุณกำลังมี Passion กับมันอยู่ การเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์เหล่านี้และพูดคุยถึงความรู้สึกของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหัวใจสำคัญ

5. ให้เกียรติกับ Commitment ของคุณ

เรื่องนี้สามารถตั้งชื่อใหม่ได้ว่า “How to be a good human” เพราะการเคารพใน Commitment ของคุณ ไม่ได้เป็นเรื่องยากที่จะทำและสามารถนำมาใช้ได้ในทุกๆ ด้านในชีวิตของคุณ แต่ในการทำงานเมื่อคุณ Commit ที่จะทำงานให้เสร็จ คุณไม่เพียงต้องให้เกียรติกับ Commitment นั้น แต่คุณต้องทำมันให้ถึงที่สุดด้วย จงปฏิบัติกับเพื่อนร่วมงานในแบบที่คุณต้องการให้พวกเขาปฏิบัติกับคุณ หากคุณกำลังสุ่มเสี่ยงว่างานจะเสร็จทัน Deadline ไหม คุณก็ควรยืดหยุ่น Commitment ซะ เช่น หากไม่แน่ใจว่า Feature ที่ทำอยู่จะเสร็จทันใน 1 สัปดาห์ ก็ให้คุณเผื่อเวลาไปสักสัปดาห์ครึ่งแทน แบบนี้จะปลอดภัยกว่า อีกทั้งไม่กระทบกับงานส่วนของคนอื่นด้วย เป็นต้น

6. เลือกงานที่ยากหรือไม่เคยทำมาก่อน

Emma พยายามเลือกทำงานที่ยากๆ ด้วย 2 เหตุผลคือ มันกระตุ้นให้เธอตั้งใจทำจนสำเร็จ และ เธอจะได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ส่วนปัญหาของการเลือกงานที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว คือ คุณจะเติบโตยาก เนื่องจากคุณจะรู้แต่สิ่งเดิมๆ นอกจากนี้คุณยังขโมยโอกาสจากเพื่อนร่วมงานในการจัดการกับสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย เมื่อคุณเริ่มทำงานที่ยาก คุณจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการเป็น Mentor ให้แก่เพื่อนร่วมงานได้ เช่น หากคุณจะต้องทำงานในเชิงเทคนิคมากๆ เกี่ยวกับ RTC Gateway แน่นอน คุณอาจต้องขอความช่วยเหลือจาก Team lead หรือเพื่อนร่วมงาน แต่หากคุณทำงานนี้สำเร็จแล้ว คุณจะไม่กลัวหากต้องทำงานเกี่ยวกับ RTC Gateway อีก นอกจากนี้ Manager คงชอบที่จะเห็นลูกทีมที่ไม่กลัวในการต้องรับมือกับสิ่งใหม่ๆ และสนุกกับการเรียนรู้ในทักษะใหม่ๆ

7. สนับสนุน/ให้กำลังใจคนที่อยู่รอบตัวคุณ

วิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความสัมพันธ์กับคนอื่น คือ การสนับสนุน/ให้กำลังใจให้คนรอบข้าง แม้เพื่อนร่วมงานคุณทำ Feature ที่ห่วยแตกออกมา คุณก็ต้องกล้าที่จะบอกพวกเขา เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ การมีทีมที่คอยช่วยสนับสนุนกันถือเป็นเรื่องดี จงเชื่อใจกันและกัน เมื่อคุณช่วยเพื่อนร่วมงาน พวกเขาก็จะช่วยเหลือคุณเช่นกัน เมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก การมีทัศนคติที่ดี จะช่วยดึงดูดคนดีๆ มาหาคุณได้ อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น จดจำวันเกิดของเพื่อนร่วมงานได้ หรือ เสนอความช่วยเหลือแม้พวกเขายังไม่ได้ร้องขอ

8. ขอคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์

สิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้ก้าวหน้าในอาชีพคือ การขอคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์จากคนอื่น อย่าง Emma เองก็เคยมีปัญหาจากการไม่รับฟังคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานของเธอ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่า ความคิดแบบนี้อาจทำลายความก้าวหน้าในอาชีพของเธอได้ คุณจำเป็นของทำตัว Active ในเรื่องนี้ คุณควรกล้าที่จะขอคำชี้แนะจากคนอื่นเพื่อให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น และหากคุณทำแบบนี้สม่ำเสมอ อยากให้คุณลองเปรียบเทียบดูว่า คุณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากแค่ไหน

9. หา Mentor

Emma สนับสนุนเรื่องนี้อย่างมาก เพราะไม่เพียงช่วยสร้าง Network เท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณได้ความรู้และประสบการณ์ที่อาจประเมินค่าไม่ได้อีกด้วย โดยรูปแบบของ Mentorship ที่คุณสามารถหาได้ มีดังนี้

  • Technical: คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อช่วยปรับปรุงทักษะ JavaScript ของคุณ
  • Professional:คนที่คุณฝันใฝ่จะเป็น หรือ คนที่สามารถช่วยผลักดันคุณให้ไปถึงจุดที่คุณต้องการในอีก 5 หรือ10 ปี
  • Personal: คนในบริษัท ที่สามารถช่วยคุณในเรื่องปัญหาด้านจริยธรรม หรือคำถามเกี่ยวกับธุรกิจได้

หากเป็นไปได้ควรหาเวลาไปพบปะพูดคุยกับ Mrntor ของคุณตามช่วงที่เหมาะสม เช่น บางเรื่องพูดคุยกันได้เดือนละครั้ง แต่บางเรื่องเช่น Technical mentorship อาจต้องพูดคุยกัน ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งคุณต้องมีเป้าหมายในการพบปะกับ Mentor ที่ชัดเจนเพื่อจะได้แน่นใจว่า คุณจะได้เห็นความคืบหน้าของตัวเองและเป็นการใช้เวลาร่วมกับผู้อื่นได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย

10. อย่ายอดแพ้/ล้มเลิกง่ายๆ

อย่าลืมว่าเรากำลังทำงานอยู่ใน Industry ที่ยากที่สุดอันหนึ่ง เราต้องใช้ทักษะหลายอย่าง เพื่อพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ อย่ายอมแพ้ แม้คุณต้องเจอเรื่องยากๆ มากมาย แต่ให้คุณปรับความคิดใหม่ว่า Manager จ้างคุณมาด้วยเหตุผลบางอย่าง คุณเป็นสมาชิกที่มีค่าในทีม และพวกเขาพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณเสมอ หากคุณท้อแท้และเหนื่อยกับงานที่ทำ ก็ให้หยุดพักหรืออยู่กับตัวเองให้มากขึ้น และหากคุณมี Passion กับเทคโนโลยีอยู่ เพื่อรักษา Passion นั้นเอาไว้ คุณควรจดจำเหตุผลที่ว่า ทำไมคุณถึงตกหลุมรักการเขียน Program มาตั้งแต่ต้น

ที่มา:  https://levelup.gitconnected.com/

 

 

รับตำแหน่งงานไอทีใหม่ๆ ด้วยบริการ IT Job Alert

 

อัพเดทบทความจากคนวงในสายไอทีทาง LINE ก่อนใคร
อย่าลืมแอดไลน์ @techstarth เป็นเพื่อนนะคะ

เพิ่มเพื่อน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง